โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีการกระแทกของเลือดต่อเนื่องที่สูงกว่าปกติในทางหลอดเลือด นั่นหมายความว่า หัวใจต้องใช้แรงมากขึ้นเพื่อดันเลือดผ่านหลอดเลือด ที่สามารถทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ในระยะยาวได้

ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมีหลายปัจจัย เช่น การบริโภคอาหารที่มีความเค็มสูง, สภาพที่ไม่ดีของการดื่มแอลกอฮอล์, การสูบบุหรี่, การมีน้ำหนักที่มากเกินไป, การไม่เคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายน้อย, และแฟคตอร์ที่สามารถส่งผลกระทบต่อระดับความดันโลหิต เช่น พันธุกรรมและอายุ

โรคความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการที่แสดงออกภายนอก แต่สามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในร่างกายได้ จึงสำคัญที่ต้องมีการตรวจสอบความดันโลหิตเป็นประจำ เพื่อพบและรักษาโรคนี้ในระยะเริ่มต้น และป้องกันการเกิดภาวะปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องในอนาคต

อาการความดันโลหิตสูงเป็นอย่างไร?

โรคความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนที่สามารถรู้สึกได้ตลอดเวลา ไม่มีอาการที่แสดงออกภายนอก แต่สามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในร่างกายได้ แม้ว่าโรคความดันโลหิตสูงจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน, แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดอาการบางอย่างได้ ซึ่งอาจปรากฏในระดับความดันที่สูงขึ้น

  • หัวใจเต้นเร็ว: ความดันโลหิตสูงอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วเพื่อพยายามทำให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • หัวใจเจ็บหรือเจ็บปวด: บางครั้งความดันโลหิตสูงสามารถทำให้หัวใจต้องใช้แรงมากขึ้น, ทำให้รู้สึกเจ็บหรือเจ็บปวดในช่วงหน้าอก
  • หัววูบหรือเวียนศีรษะ: บางคนที่มีความดันโลหิตสูงๆ มักจะรู้สึกหัววูบหรือเวียนศีรษะ, มีความง่ายเข้าใจ, หรือมีอาการคลื่นไส้
  • มีปัญหาการมองเห็น: ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดภาวะตาคลี้ที่เรียกว่า “retinopathy,” ทำให้มีปัญหาการมองเห็น, ปรากฏได้ตั้งแต่มีปัญหาการมองเห็นในบางจุดหรือมีม่านหรือแว่นมัวขึ้น
  • เจ็บหลังข้าง: ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดการเจ็บหลังข้าง, บ่อยครั้งเป็นอาการที่มีผลต่อไตหรือเส้นประสาท

ความดันโลหิตสูง เพชฌฆาตเงียบทำลายหัวใจ

เราสามารถเช็คว่าเป็นความดันโลหิตสูงได้หรือไม่ ด้วยวิธีการวัดความดันโลหิต หากมีค่าความดันซิสโตลี (ค่าความดันตัวบน) มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท (mm/Hg) หรือ ค่าความดันไดแอสโตลี (ค่าความดันตัวล่าง) มากกว่าหรือเท่ากับ 90 (mm/Hg) โดยวัดในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะพัก นั่นหมายถึงคุณกำลังมีอาการของโรคความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง เพชฌฆาตเงียบทำลายหัวใจ

ระดับความดันโลหิตที่ถือว่าเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงจะขึ้นอยู่กับข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและหลักคณิตทางการแพทย์
1.ความดันโลหิตปกติ
ความดันโลหิตปกติถือว่าค่าความดันโลหิตน้อยกว่า 140/90 มม.ปรอท (มม.ปรอทคือหน่วยวัดความดันโลหิต)

2.เสี่ยงความดันโลหิตสูง (Prehypertension)
ค่าความดันโลหิตระหว่าง 160/100 ถึง 139/89 มม.ปรอท

3.ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงถือว่าเมื่อค่าความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม.ปรอท

ค่าความดันโลหิตที่อยู่ในระดับ Prehypertension มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคความดันโลหิตสูงในอนาคต. การตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้อง

ระดับความดันโลหิตปกติควรอยู่ที่เท่าไร?

1.ความดันโลหิตบน (Systolic Pressure)

  • ความดันโลหิตบนที่ถือว่าปกติอยู่ระหว่าง 90 ถึง 120 มม.ปรอท

2.ความดันโลหิตล่าง (Diastolic Pressure)

  • ความดันโลหิตล่างที่ถือว่าปกติอยู่ระหว่าง 60 ถึง 80 มม.ปรอท

ค่าความดันโลหิตนี้เป็นค่าที่ถือว่าปกติตามคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) และองค์การโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association – AHA) การวัดความดันโลหิตแต่ละครั้งอาจมีความแปรปรวนเล็กน้อย และการตรวจสอบค่าความดันโลหิตในหลายครั้งจะช่วยให้ได้ค่าที่แน่นอนมากขึ้น

วิธีการวัดความดันด้วยตนเองที่บ้าน

การวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านเป็นวิธีที่ดีเพื่อติดตามสุขภาพของคุณเอง นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อวัดความดันโลหิตของคุณ

1.พักผ่อนก่อนการวัดความดัน

  • พักผ่อนให้เพียงพอก่อนการวัดความดัน ห้ามสูบบุหรี่หรือดื่มกาแฟในช่วง 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก่อนการวัด

2.เตรียมอุปกรณ์

  • ตรวจสอบว่าคุณมีเครื่องวัดความดันโลหิตที่ถูกต้องและใช้งานได้ดี และต้องมีขนาดที่มีความพอดีในการที่จะสวมใส่แขนเข้าไปได้

3.นั่งหรือยืนในท่าที่สบาย

  • นั่งหรือยืนในท่าที่สบาย ไม่ควรทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมากก่อนการวัด

4.วัดความดันโลหิต

  • วางแขนที่จะวัดความดันโลหิตบนโต๊ะ และให้แขนอยู่ในระดับกลางของร่างกาย
  • ใส่หุ้มแขนหรือผ้าที่รับได้, ในกรณีที่ท่อนบนของแขนได้ตลอดเวลา
  • ใส่ปีกตรวจความดันที่ถูกต้องไว้ที่ข้อศอกที่มีการเงาของหุ้มแขน
  • เริ่มวัดความดันโลหิตด้วยการกดปุ่มเริ่ม

5.บันทึกผล

  • เมื่อทำการวัดผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องมีการบันทึกค่าความดันโลหิตทั้งบน (Systolic) และล่าง (Diastolic) พร้อมทั้งวันที่และเวลา

6.ประเมินผล

  • คำนวณเฉลี่ยค่าความดันโลหิตจากการวัดที่ได้รับในระยะเวลาหลาย ๆ วัน
  • หากมีค่าความดันโลหิตที่ต่ำหรือสูงเกินไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับคำแนะนำและมีการวินิจฉัยอย่างชัดเจนเพื่อความแน่ชัด

ความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น พันธุกรรม, อายุ, น้ำหนัก, การดื่มแอลกอฮอล์, การสูบบุหรี่, การกินอาหารที่มีความเค็มสูง, และระดับกิโลเมตรของการออกกำลังกาย คำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการรักษาและการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงนั้นสำคัญเนื่องจากมีการปรับขนาดตามความเสี่ยงและสุขภาพของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามหากมีปัจจัยเสี่ยงหรือปัญหาสุขภาพ, แพทย์อาจกำหนดเกณฑ์ความดันโลหิตเป้าหมายได้ต่ำกว่านี้ หรือให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาและการดูแลสุขภาพ การรักษาความดันโลหิตที่ควบคุมได้ดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้

ค่าบนเครื่องวัดความดัน หมายถึงอะไร?

1. Systolic blood pressure (SBP) ตัวบน คือ ความดันของเลือดสูงสุดขณะหัวใจห้องล่างบีบตัว 2. Diastolic blood pressure (DBP) ตัวล่าง คือ ความดันเลือดที่ต่ำสุดขณะหัวใจห้องล่างคลายตัว

  • ความดันโลหิตเกณฑ์ปกติ คือ 120/80 (mm/Hg)
  • ความดันโลหิตค่อนข้างสูง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 121-139/80-89 (mm/Hg)
  • ความดันโลหิตสูงมาก คือ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 (mm/Hg) และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 (mm/Hg)
  • ความดันโลหิตระดับอันตราย 160/100 (mm/Hg)

**ความดันโลหิตสูงระดับอ่อนหรือปานกลาง มักจะไม่มีอาการอะไร แต่มีการทำลายอวัยวะต่างๆ ไปทีละน้อยอย่างช้าๆ จนผู้ป่วยเกิดผลแทรกซ้อนเช่น หัวใจล้มเหลว หัวใจขาดเลือด ไตเสื่อมสมรรถภาพ หรืออัมพาต อัมพฤกษ์ โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา การรักษาความดันโลหิตถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดตามมา โดยหากทราบว่าตนเองเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัย ตรวจภาวะหัวใจโต ตรวจภาวะไตเสื่อม และตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ รวมถึงตรวจหาโรคร่วมที่มาพร้อมกับความดันโลหิตสูง เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น